ค.ศ. |
พ.ศ. |
Ozone history and on-going Actions |
1839 |
2382 |
ค้นพบก๊าซโอโซน โดย ดร คริสเตียน ฟรีดิช เชินไบน์ (Christain Friedrich SchÖnbein) นักเคมีชาวเยอรมัน จากการทดลองแยกน้ำด้วยไฟฟ้า คำว่า "โอโซน" เป็นภาษากรีก แปลว่า " กลิ่น" เพราะโอโซนมีกลิ่นฉุนเมื่อความเข้มข้นมาก |
1860 |
2403 |
เริ่มมีการตรวจวัดโอโซนผิวพื้นกว่าร้อยสถานีทั่วโลก |
1880 |
2423 |
พบว่าโอโซนในบรรยากาศเหนือขึ้นไปดูดกลืนรังสีดวงอาทิตย์ช่วง 200-300 นาโนเมตร โดยฮาร์ตเลย์(Hartley) |
1913 |
2456 |
การตรวจวัดรังสีอัลตราไวโอเลต ได้พิสูจน์ว่าโอโซนส่วนใหญ่อยู่ในชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ ที่ 19-23 กิโลเมตรจากพื้นโลก |
1920 |
2463 |
มีการตรวจวัดปริมาณโอโซนในบรรยากาศหรือโอโซนรวมครั้งแรกโดยนักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย ออกซ์ฟอร์ด |
1926 |
2469 |
มีการตรวจวัดปริมาณโอโซนในบรรยากาศด้วยเครื่องด็อบสันสเปคโตรโฟโตมิเตอร์ (Dobson Spectrophotometer ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นโดย Gordon Miller Bourne Dobson ชาวอังกฤษ) 6 เครื่องทั่วโลก |
1929 |
2472 |
มีการตรวจวัดแบบอุมเคอร์ (Umkehr) ซึ่งหาการกระจายตัวตามแนวดิ่งของโอโซนที่ชั้นต่ำกว่า 25 กม. |
1930 |
2473 |
มีทฤษฎีเกี่ยวกับปฎิกิริยาเคมีจากแสง (photochemical reaction) เกี่ยวกับการเกิดและสลายตัวของโอโซนที่เกิดจากออกซิเจนบริสุทธิ์ |
1934 |
2477 |
จากการตรวจโอโซนซอนด์บนบอลลูนแสดงให้เห็นว่าโอโซนปรากฏอยู่มากที่สุดที่ความสูงประมาณ 20 กม. |
1955 |
2498 |
มีการก่อตั้งเครือข่ายสถานีตรวจโอโซนทั่วโลก |
1957 |
2500 |
องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) ก่อตั้งและดูแลการตรวจวัดอย่างเป็นระบบ ที่เรียกว่า GO3Os (Global Ozone Observing System) ต่อมาได้รวมกิจกรรมหลายด้านเรียก Global Atmosphere Watch |
1965 |
2508 |
มีทฤษฎีปฎิกิริยาเคมีจากแสง ที่เสนอว่าการสลายตัวของโอโซนเกิดจากองค์ประกอบอนุมูลของไฮดรอกซิล (HOx) |
1966 |
2509 |
มีการตรวจวัดโอโซนโดยดาวเทียมครั้งแรก |
1971 |
2514 |
มีการเสนอกลไกการสลายตัวของโอโซนที่เกิดจากออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx ) |
1974 |
2517 |
มีการพิจารณาว่าการสลายตัวของโอโซนเกิดจากกลุ่มแอคทีฟคลอรีน (ClOx) |
1974 |
2517 |
พบว่าสารสังเคราะห์ซีเอฟซี เป็นที่มาของคลอรีนในบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ |
1975 |
2518 |
WMO เริ่มมีการประเมินโอโซนครั้งแรก |
1977 |
2520 |
WMO ร่วมกับ UNEP มีแผนปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันชั้นโอโซน |
1979 |
2522 |
WMO ได้สนับสนุนประเทศไทยให้มีการตรวจวัดโอโซนโดยด็อบสันสเปคโตรโฟโตมิเตอร์ หมายเลข 90 ณ สถานีกรุงเทพฯ (หมายเลขสถานี 216) และเริ่มรายงานข้อมูลในศูนย์ข้อมูลโอโซนและรังสีอัลตราไวโอเลตโลก(WOUDC) |
1981 |
2524 |
WMO ร่วมกับ UNEP และสถาบันวิจัยอื่นๆ ออกรายงานประเมินชั้นโอโซน เชิงวิทยาศาสตร์ "Scientific Assessments of The Ozone Layer" |
1984 |
2527 |
รายงานฉบับแรกที่เสนอต่อ Ozone Commission Symposium ที่ Halkidiki ชี้ว่าโอโซนมีค่าต่ำกว่าปกติ (ประมาณ 200 DU) ที่สถานีไซโยวา (Syowa) เหนือทวีปแอนตาร์กติกาในเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1982 |
1985 |
2528 |
WMO/ UNEP ออกรายงานประเมินการลดลงของชั้นโอโซนเชิงวิทยาศาสตร์ |
1985 |
2525 |
มีอนุสัญญาเวียนนาเพื่อพิทักษ์ชั้นโอโซน (Vienna Convention for the Protection of the Ozone Layer) และรายงานเกี่ยวกับรูรั่วโอโซนตั้งแต่ทศวรรษ 1980s ตีพิมพ์โดย British Antarctic Survey |
1986 |
2529 |
บทวิเคราะห์ของ Montsouris (ปารีส) เกี่ยวกับโอโซนผิวพื้นในปัจจุบันได้เพิ่มเป็น 2 เท่าของร้อยปีก่อนคือ ปี พ.ศ. 2416-2453 (1873-1910) |
1987 |
2530 |
มีพิธีสารมอนทรีออลเพื่อการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นโอโซน (Montreal Protocol) |
1988 |
2531 |
NASA ได้พิสูจน์พบว่ามีคลอรีนและโบรมีนที่มาจากกิจกรรมของมนุษย์และเป็นสาเหตุของรูรั่วโอโซน ที่ความสูงของชั้นสตราโตสเฟียร์ตอนล่าง โอโซนลดลงอย่างต่อเนื่องประมาณ 10% ต่อสิบปี |
1989 |
2532 |
WMO มีรายงาน "Scientific Assessment of Stratospheric Ozone 1989 " WMO No. 20 (1989) |
1990 |
2533 |
มีการแก้ไขพิธีสารมอนทรีออล ณ กรุงลอนดอน (London Amendment) โดยประกาศห้ามผลิตและใช้สาร CFC ภายในปี ค.ศ. 2000 |
1991 |
2534 |
WMO ร่วมกับ UNEP ออกรายงานประเมินการลดลงของโอโซน "WMO/UNEP Ozone Assessment of Ozone Depletion: 1991" (1991) เน้นว่าโอโซนกำลังลดลงไม่เพียงแต่ในฤดูหนาว - ใบไม้ผลิเท่านั้น แต่เกิดขึ้นตลอดปีในเขตต่างๆ ยกเว้นเขตร้อน และคลอรีนโมโนออกไซด์ (ClO) ที่พบมากเหนือทวีปอาร์กติกา เป็นสิ่งชี้ความรุนแรงของวิกฤติโอโซน |
1992 |
2535 |
มีการแก้ไขพิธีสารมอนทรีออล ณ กรุงโคเปนฮาเกน (Copenhagen Amendment) ได้ขยายความในพิธีสารมอนทรีออลให้มีการหยุดใช้สาร CFCs ภายในปี 1995 และเพิ่มการควบคุมสารประกอบอื่นๆ และ UNEP มีรายงานเรื่อง " Methyl Bromide: Its Atmospheric Science, Technology and Economics (Assessment Supplement) " |
1994 |
2537 |
โอโซนที่วัดได้ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เท่ากับ 92 DU ระหว่างฤดูใบไม้ผลิเหนือทวีปแอนตาร์กติกาและครอบคลุมบริเวณกว้างถึง 24 ล้านตารางกิโลเมตร ขณะเดียวกันพบว่ามีคลอรีนและโบรมีนที่ชั้นสตราโตสเฟียร์เพิ่มขึ้น WMO และ UNEP ออกรายงานประเมินการลดลงของโอโซนเชิงวิทยาศาสตร์ "Scientific Assessment of Ozone Depletion: 1994" WMO No. 37 (1994) |
1995 |
2538 |
มีการลดลงของโอโซนในซีกโลกเหนือด้วย เช่น โอโซนที่เขตไซบีเรียและพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปยุโรปในเดือนมกราคมถึงเดือน มีนาคมวัดได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 25 % |
1995 |
2538 |
รางวัลโนเบลสาขาเคมี มอบให้กับ Paul J. Crutzen, Mario J. Molina และ F. Sherwood Rowland จากการอธิบายว่าโอโซนได้เกิดและถูกทำลายโดยผ่านขบวนการทางเคมีในบรรยากาศ สำคัญที่สุดคือพวกเขาได้แสดงว่าชั้นโอโซนมีความเปราะบาง ต่อสารประกอบสังเคราะห์ที่ถูกปล่อยออกไป โดยกลไกทางเคมีที่มีผลกระทบต่อความหนาของชั้นโอโซน ถือว่าเป็นผู้ทำให้โลกพ้นจากปัญหาที่เป็นเหตุแห่งความหายนะต่างๆ ที่จะตามมา |
1996 |
2539 |
กองทุนพหุภาคีให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและงบประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อการยกเลิกผลิตและใช้สาร CFCs ในภาคอุตสาหกรรม |
1996 |
2539 |
กรมอุตุนิยมวิทยา ติดตั้งเครื่องวัดโอโซนและรังสีอัลตราไวโอเลต ระบบอัตโนมัติ Brewer spectrophotometer No. 120 ที่ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออก สงขลา (WOUDC No. 345) และ 121 ที่สถานีกรมอุตุนิยมวิทยา กรุงเทพฯ |
1997 |
2540 |
มีการแก้ไขพิธีสารมอนทรีออล ณ กรุงมอนทรีออล (Montreal Amendment) ได้เพิ่มเติมให้มีการหยุดใช้ เมธิลโบรไมด์ (CH3Br) |
1998 |
2541 |
WMO/ UNEP มีรายงานประเมินโอโซนฉบับที่ 8 "Scientific Assessment of Ozone Depletion: 1998" WMO No. 44 (1998) |
1999 |
2542 |
มีการแก้ไขพิธีสารมอนทรีออล ณ กรุงปักกิ่ง (Beijing Amendment) โดยได้เพิ่มการควบคุมสารโบรโมคลอโร มีเทน และไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (HCFC) |
2002 |
2545 |
WMO/ UNEP และหน่วยงานร่วม ออกรายงานประเมินการลดลงของชั้นโอโซนเชิงวิทยาศาสตร์ "Scientific Assessment of Ozone Depletion: 2002" (2002) |
2006 |
2549 |
รูรั่วโอโซน เหนือทวีปแอนตาร์กติกามีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ ประมาณ 27 ล้านตารางกิโลเมตร |
WMO/ UNEP และหน่วยงานร่วม ออกรายงานประเมินการลดลงของชั้นโอโซนเชิงวิทยาศาสตร์ "Scientific Assessment of Ozone Depletion: 2006" (2006) |
||
2010 |
2553 |
WMO/ UNEP และหน่วยงานร่วม ออกรายงานประเมินการลดลงของชั้นโอโซนเชิงวิทยาศาสตร์ "Scientific Assessment of Ozone Depletion: 2010" (2010) |
2014 |
2557 |
WMO/ UNEP และหน่วยงานร่วม ออกรายงานประเมินการลดลงของชั้นโอโซนเชิงวิทยาศาสตร์ "Scientific Assessment of Ozone Depletion: 2014" (2014) |
2016 |
2559 |
มีการแก้ไขพิธีสารมอนทรีออล ณ เมือง Kigali (Kigali Amendment) เพื่อการลดสารไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) |
2018 |
2561 |
WMO/ UNEP และหน่วยงานร่วม ออกรายงานประเมินการลดลงของชั้นโอโซนเชิงวิทยาศาสตร์ "Scientific Assessment of Ozone Depletion: 2018" (2018) |